“สิริกร ลิ้มสุวรรณ” คนรุ่นใหม่หัวใจเกษตรอินทรีย์ และวิถีชีวิตเป็นอยู่อย่างยั่งยืน
เคยตั้งคำถามกับตัวเองไหม ว่าสิ่งที่คุณทำอยู่ทุกวันนี้คือความสุขที่สุดในชีวิตแล้วหรือยัง? สุขที่ว่าคือ สุขเพียงตัวเรา หรือสุขที่เราได้แบ่งปัน เช่นเดียวกับ “สิริกร ลิ้มสุวรรณ” คนรุ่นใหม่หัวใจรักการทำเกษตรอินทรีย์ที่เลือกเดินออกจากงานประจำ เงินเดือนสูง เพื่อกลับคืนสู่ท้องถิ่นและมุ่งทำเกษตรอินทรีย์ หวังตอบแทนคุณธรรมชาติ และสร้างเครือข่ายการเรียนรู้เพื่อชีวิตที่ยั่งยืน
หนุ่มนิติฯ ทำงานแบงก์ และจุดเปลี่ยนสู่เกษตรกร
นายสิริกร ลิ้มสุวรรณ ศิษย์เก่าคณะนิติศาสตร์ (รุ่นที่ 9) มหาวิทยาลัยรังสิต เล่าให้ฟังว่า ในชีวิตเขาผูกพันกับธรรมชาติ ชุมชน และท้องถิ่น ตรงนี้ทำให้เขาตัดสินใจเลือกเรียนกฎหมายเพื่อวันหนึ่งจะได้นำความรู้ไปช่วย เหลือผู้อื่น และคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต คือสถาบันการศึกษาที่เขาตัดสินใจเดินเข้ามาศึกษาโดยที่เขาได้เห็นโครงการ เพื่อสังคม การอนุรักษ์และสิ่งแวดล้อมต่างๆ ที่ทางมหาวิทยาลัยดำเนินตลอดมา และภายหลังเข้ามาศึกษาเขาก็เข้าร่วมทุกกิจกรรมอาสา ค่ายพัฒนาชุมชนต่างๆ เพราะสิ่งเหล่านี้คือการที่มีโอกาสได้ตอบแทนบุญคุณธรรมชาติที่หล่อเลี้ยง ชีวิตผู้คนมา
“หลังจากที่ผมเรียนจบนิติศาสตร์ ตอนนั้นคิดว่าจะทำงานหาประสบการณ์ก่อนสักสองสามปี โดยผมมีโอกาสได้เข้าทำงานในฝ่ายการตลาด ทำเกี่ยวกับสินเชื่ออยู่ที่ธนาคารแห่งหนึ่งประมาณสามปี ตอนนั้นเก็บเงินได้ก้อนหนึ่งและกลับมาคิดทบทวนว่า อะไรคือความสุขในชีวิตเรา สุดท้ายก็ได้คำตอบว่าเราจะนำความรู้ที่เรามี ศักยภาพในตัวที่เราจะสามารถช่วยเหลือผู้อื่นได้ เราจะนำสิ่งเหล่านั้นออกมาสร้างความรู้ ทำเกษตรให้ยั่งยืน และให้คนในชุมชนสามารถพึ่งพาตัวเองได้ เพราะผมเชื่อว่าทำเกษตรสามารถตอบแทนสังคมและธรรมชาติได้ โดยใช้วิธีการเรียนรู้จากผู้มีประสบการณ์ ปราชญ์ชาวบ้าน และที่สำคัญที่สุดคือลองผิดลองถูกจากการลงมือทำ”
เรียนรู้และแบ่งปันตามหลักเกษตรพอเพียง
สิริกร เล่าให้ฟังต่อว่า ตอนออกจากงานธนาคารมาทำเกษตร เขาเริ่มต้นจากการเลี้ยงไส้เดือน ตั้งใจว่าจะทำมูลไส้เดือนขายให้เกษตรกร อยากให้ชาวนาเปลี่ยนจากนาเคมี มาเป็นนาอินทรีย์ แต่ทำไปได้ปีหนึ่ง ก็รู้ว่าเราเปลี่ยนใครไม่ได้ อาจจะเพราะภาระต่างๆ ที่ชาวบ้านเค้าต้องแบกรับ เลยคิดว่าเราต้องกลับมาเปลี่ยนตัวเองก่อน เรียนรู้ ลองผิดลองถูก ล้มลุกคลุกคลานอยู่เป็นปี จนทุกอย่างเริ่มเข้าที่เข้าทางและมีคนสนใจเข้ามาถามไถ่ หลังจากนั้นก็เริ่มสร้างเครือข่ายขึ้นมา โดยเรามีทีมงานให้คำปรึกษาเกี่ยวกับเรื่องการทำเกษตรอินทรีย์ เมื่อทุกอย่างเริ่มลงตัว ก็เริ่มวางแผนต่อว่าหลังจากนี้อีกสี่ห้าปีจะวางแผนทำอะไรต่อ
“ผมตั้งเป้าไว้ว่าจะทำให้ จังหวัดกาญจนบุรี เป็นสังคมเกษตรอินทรีย์ อยากให้คนในชุมชนพึ่งพาตนเองได้ มากกว่ารอการช่วยเหลือจากภาครัฐเพียงอย่างเดียว ซึ่งตอนนี้สิ่งที่ทำไปแล้วคือ โรงเรือนบ้านรักษ์ดิน โดยมาจากความตั้งใจที่จะอนุรักษ์ดิน เลี้ยงดินให้ดี เมื่อดินดีอุดมสมบูรณ์ก็จะปลูกพืชได้ดี ทำให้มีกินและแบ่งขายได้ เป็นการเรียนรู้ที่จะพึ่งพาตนเอง อีกทั้งยังมีการทำโรงเรือนปลูกผักออร์แกนิกไว้กินเอง เช่น ผักบุ้ง กวางตุ้ง คะน้า ผักกาดขาว โดยเปิดโอกาสให้ผู้สนใจเก็บผัดปลอดสารพิษไปทานได้โดยไม่คิดเงิน หรือจะบริจาคได้ตามศรัทธาเพื่อเป็นค่าเมล็ดพันธุ์ได้ปลูกต่อไปเรื่อยๆ และยังทำบ่อมะนาว รวมทั้งสร้างเครือข่ายจากการทำผลิตภัณฑ์เพื่อส่งเสริมรายได้ให้แก่ชาวบ้านใน พื้นที่ เช่น ข้าวไรท์เบอร์รี่ ข้าวกล้อง ข้าวหอมมะลิ ข้าวกล้องหอมมะลิ หลักๆ จะเน้นไปที่การแปรรูปจากข้าวมากกว่า เช่น ผงพอกหน้าขาวหอมมะลิ แชมพู ครีมนวดผมข้าวหอมนิล น้ำอบเชยกลั่นต้านเบาหวาน ฯลฯ ซึ่งผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่เป็นออร์แกนิกทั้งหมด และกรรมวิธีขั้นตอนการผลิตต่างๆ ล้วนเป็นมิตรกับธรรมชาติ และมีคุณภาพคงคุณค่าก่อนถึงมือผู้บริโภค”
สำหรับผู้ที่สนใจผลิตภัณฑ์หรืออยากเรียนรู้การทำเกษตรอินทรีย์ สามารถแวะเวียนไปดูตัวอย่างได้ที่บ้านรักษ์ดิน จังหวัดกาญจนบุรี แล้วคุณจะพบคำตอบว่า การอยู่กับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรอบตัวคือความสุขที่คุณไม่สามารถหาได้จาก เมืองใหญ่ วันนี้ลองคิดทบทวนดูว่าสิ่งที่ทำอยู่มีความสุขมากแต่ไหน สิ่งที่เราทำนั้นดีหรือยัง พอเลี้ยงชีพและสามารถเกื้อกูลคนอื่นได้หรือเปล่า เพราะบางทีคุณอาจจะพบว่า ชีวิตนี้แค่กินอยู่อย่างพอเพียงก็เพียงพอแล้ว