รหัสสินค้า | SKU-00270 |
หมวดหมู่ | ผักออร์แกนิค |
ราคา | 49.00 บาท |
น้ำหนัก | 300 กรัม |
ลงสินค้า | 12 ก.ค. 2566 |
อัพเดทล่าสุด | 29 พ.ค. 2567 |
คงเหลือ | 0 ชิ้น |
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Colocasia esculenta (L.) Schott
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Taro”
ชื่อท้องถิ่น : ภาคเหนือเรียกว่า “บอนหรือตุน” ภาคอีสานเรียกว่า “บอน” ภาคใต้เรียกว่า “บอนเขียว บอนจีนดำ บอนท่า บอนน้ำ” ชาวจีนเรียกว่า “โอ่วไน โอ่วถึง โทวจือ”
ชื่อวงศ์ : วงศ์บอน (ARACEAE)
เผือก เป็นพืชล้มลุกที่มีถิ่นกำเนิดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียใต้ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ ประเภทเอดโด (eddoe) เป็นเผือกที่มีหัวขนาดเล็ก และประเภทแดชีน (dasheen) เป็นเผือกที่มีหัวขนาดใหญ่ ในประเทศไทยนิยมเผือกหอมซึ่งเป็นเผือกชนิดหนึ่งในประเภทแดชีน
ลำต้น : ลำต้นเป็นหัวอยู่ใต้ดิน
หัว : หัวเป็นรูปลูกข่างกลมสีน้ำตาลและมีขนาดใหญ่ มีหัวเล็ก ๆ อยู่ล้อมรอบ หัวจะมีรูปร่างและขนาดที่แตกต่างกันออกไป
ใบ : เป็นใบเดี่ยวขนาดใหญ่เรียงเวียนสลับกัน ใบเป็นรูปหัวใจหรือเป็นรูปลูกศรแกมรูปหัวใจ ปลายใบแหลม โคนใบแต่ละด้านกลมหรือเป็นเหลี่ยม สามารถเห็นเส้นใบได้ชัดเจน
ดอก : ออกดอกเป็นช่อเชิงลดมีกาบ ออกเดี่ยวหรือหลายช่อ
ผล : ผลเป็นสีเขียวเปลือกบาง
เมล็ด : ไม่ค่อยมีเมล็ดแต่บางสายพันธุ์ก็ติดเมล็ดได้
1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร ใบและยอดของต้นเผือกนำมารับประทานเป็นผักได้ ก้านใบนำมาใช้ประกอบอาหารในการทำแกงหรือนำไปทำเป็นผักดอง หัวเผือกสามารถนำมาใช้ทำเป็นอาหารคาวหวานอย่างพวกเผือกเชื่อมหรือเผือกทอด สามารถนำมาทำเป็นเครื่องดื่มได้
2. ทำเป็นแป้ง ทำเป็นแป้งเผือกเพื่อใช้ทำขนมปัง ทำอาหารทารก เป็นอาหารเพื่อป้องกันโรคแพ้บางอย่างของเด็กทารกและใช้แทนธัญพืชในการรักษาโรคเกี่ยวกับกระเพาะลำไส้
3. ใช้ในการเกษตร ชาวกะเหรี่ยงแม่ฮ่องสอนนำใยมาต้มให้หมูกิน
1. ไม่ควรรับประทานแบบดิบเพราะหัวและทั้งต้นของเผือกมีผลึกแคลเซียมออกซาเลต (Calcium oxalate) ซึ่งมีฤทธิ์ทำให้คันได้
2. ผู้ที่มีอาการแพ้อย่างอาการคันในช่องปากหรือทำให้ลิ้นชาควรหลีกเลี่ยงการรับประทานเผือก
3. ไม่ควรรับประทานในปริมาณมากจนเกินไปเพราะจะทำให้ม้ามทำงานผิดปกติได้
คุณค่าทางโภชนาการของหัวเผือกดิบต่อ 100 กรัม โดยคิดเป็น % ร้อยละของปริมาณแนะนำที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันสำหรับผู้ใหญ่ ให้พลังงาน 112 กิโลแคลอรี (7%)
หน้าที่เข้าชม | 528,913 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 409,738 ครั้ง |